สิ่งมีชีวิตที่มีแสง สิ่งมีชีวิตที่เปล่งแสงได้นั้น
มีหลายชนิดเช่น สิ่งมีชีวิต เซลล์เดียวอาศัยอยู่ในทะเล ชื่อ นอคติลูคา (Noctiluca)
ตามปกติจะเปล่งแสงสีแดงจนทำให้ผิวทะเลมีสีแดง แต่ถ้ามีคลื่นรบกวน
นอคติลูกาจะเปล่งแสงสีน้ำเงินแทนบักเตรีบางชนิด
สามารถเปล่งแสงสีน้ำเงินหรือสีเขียวแกมน้ำเงินได้ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม
ในสัตว์ทะเลกลุ่มของหอยกาบได้แก่หอยสองฝา ชื่อโพลาสแดดติลูส (Pholas dactylus)
ก็สามารถเปล่งแสงขณะเคลื่อนไหวได้
ในสัตว์มีกระดูกสันหลังสัตว์จำพวกปลาโดยเฉพาะปลาน้ำลึกจะมีส่วนของร่างกายที่เปล่งแสงได้
บางชนิดเป็นแถบเป็นตุ่มตามข้างลำตัว
บางชนิดมีอวัยวะที่คล้ายตีนเป็ดยื่นมาจากส่วนหัวที่ปลายเรืองแสงได้ใช้ล่อปลาอื่นมากินเป็นอาหารแต่การเรืองแสงของปลาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากตัวของปลาเองแต่เกิดจากบักเตรีที่อาศัยอยู่ในตัวปลาเช่น
บักเตรีที่ชื่อโพโตเบลฟารอน (Photoblepharon)
และหิ่งห้อยก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ส่องแสงได้โดยสามารถสร้างแสงสว่างได้จากภายในของตัวเองจากปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์
ตำนานหิ่งห้อย หิ่งห้อยเป็นสัตว์จำพวกแมลงปีกแข็ง
เป็นแมลงที่พบทั่วไปทั้งในยุโรป เอเชีย และอเมริกา แต่จะพบในเขตร้อน
และไม่พบหิ่งห้อยในทะเลทรายในภาษาอังกฤษ เรียก หิ่งห้อยว่า FireFly ชื่อแมลงไฟ
ส่วนหิ่งห้อยตัวเมียไม่มีปีก คล้ายหนอน จึงเรียกว่า Growworm หรือหนอนเรืองแสง
ในอเมริกาเรียกหิ่งห้อยว่า Lightningbug
ส่วนในประเทศไทยหิ่งห้อยก็มีชื่อให้เรียกขานต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่น เช่น
แถบบางเขน เรียกว่า แมลงทิ้งถ่วง อยุธยา, ชัยนาท เรียกว่า แมงคาเรือง ที่สุพรรณบุรี
เรียกว่า แมงแสง
หิ่งห้อยนอกจากมีชื่อต่างกันไปตามท้องถิ่นแล้วในแต่ละที่ก็มีความเชื่อ
ความรู้ เกี่ยวกับหิ่งห้อยแต่ต่างกันไป ทั้งในด้านปรัชญา ศาสนา ศีลธรรม
ความเชื่อของคนมาเลเซีย พวกโอรังดูซัน
ซึ่งเป็นเผ่าพื้นเมือง
เชื่อว่าหิ่งห้อยเป็นวิญญาณของคนตายส่วนคนมาลายูก็เชื่อว่าหิ่งห้อยเกิดจากเล็บมือมนุษย์
ในอินเดียมีคนเชื่อว่าหิ่งห้อยคือนัยน์ตาของเทพเจ้าที่หลงเหลืออยู่
หลังจากสงครามซึ่งความเป็นอยู่ส่วนใหญ่
ส่วนเนื้อหนังและกระดูกโดนโยนลงแม่น้ำและเน่าเปื่อยไปแล้วเหลือเพียงนัยน์ตาที่ส่องแสงได้ในความมืด
ในอินเดียยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดหิ่งห้อยด้วยว่า
หิ่งห้อยเกิดจากความร่วมมือของเทพ 3 องค์
เพื่อให้มนุษย์เลิกกินอาหารดิบและมีไฟเอาไว้ใช้ โดยเทพองค์แรกเป็นแมลงตัวหนึ่งปั้น
มาจากขี้ไคลของพระองค์ อีกพระองค์ถูพระวรกายของพระองค์เองจนเกิดไฟลุกขึ้น
แล้วก็เอาไฟไปติดที่แมลงตัวนั้น
ส่วนอีกพระองค์ก็รีบนำแมลงตัวนี้ส่งให้มนุษย์อย่างเร่งด่วน แต่ระหว่างทางไฟก็ค่อย ๆ
มอดลง เหลือเพียงที่ก้นแมลงอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งแมลงตัวนี้ก็คือ
หิ่งห้อยตัวแรกนั่นเอง
ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าหิ่งห้อยคือวิญญาณของคนตายตามที่
ส.พรายน้อย (นักเขียนผู้หนึ่ง) เล่าว่าในฤดูร้อนริมฝั่งแม่น้ำอูจี (ในญี่ปุ่น)
ฝูงหิ่งห้อยที่อยู่คนละฟากของแม่น้ำจะยกพลเข้ารบกัน พวกที่แพ้ก็จะตกลงไปในน้ำ
ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายชาวบ้านจึงจับกลุ่มกันดูความงามอันน่าประหลาดนี้และกล่าวว่า
นี่คือนิสัยคุมถิ่นที่ติดตัวมาครั้งที่ยังเป็นมนุษย์และหิ่งห้อยนี่คือ วิญญาณของ 2
ตระกูลนักรบในอดีตที่รบรากันมาแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
อดีตมีการใช้ประโยชน์หิ่งห้อยเป็นโคมไฟราคาถูกสำหรับชาวบ้าน
ในจีนและญี่ปุ่น
นักศึกษาที่ยากจนจะจับหิ่งห้อยใส่ภาชนะต่างตะเกียงเพื่อใช้อ่านหนังสือในเวลากลางคืน
ที่จาไมก้าหิ่งห้อยมีขนาดใหญ่ให้แสงสว่างมากเพียงแค่ 6-7
ตัวก็ให้แสงสว่างเพียงพอกับการอ่านหนังสือแล้ว
ที่บราซิลจะจับหิ่งห้อยมาใช้ในพืชพวกน้ำเต้า เจาะรูรอบ ๆ ใช้แทนตะเกียงในกระท่อม
บางครั้งชาว บราซิลจะจับหิ่งห้อยมาประดับในเรือนผม
หรือไม่ก็ผูกไว้ที่ข้อเท้าขณะเดินป่า
ชาวปานามาที่ยากจนนิยมจับหิ่งห้อยใส่ในกรงกระดาษเล็ก ๆ เพื่อนำมาติดเป็นต่างหู
แม้แต่ในประเทศไทยก็มีตำนานที่สืบทอดกันมานาน
กล่าวว่าหิ่งห้อยคือวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงโคมตามหาหญิงคนรักที่ชื่อนางลำพูซึ่งจมหายไปในแม่น้ำ
เพราะฉะนั้นลำพูจึงเป็นต้นไม้ที่หิ่งห้อยชอบเกาะเนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็นวิญญาณของคนรักตน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น